สรุปพัฒนาการของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในรอบ 3 ปี

สโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่ได้ เจอร์เกน คล็อปป์ ชาวเยอร์มัน นั่งแท่นกุนซือเมื่อ 3 ปีก่อนในช่วงเดือนตุลาคมนี้ นี่ก็ถือได้ว่าเป็นการครบรอบ 3 ปี ของการเป็นผู้จัดการทีมในรั้วแอนฟิลด์ของ
เจอร์เกน คล็อปป์ ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาการทำงานในฐานะของผู้จัดการทีมหงส์แดงก็มีพัฒนาการที่ถือว่าดีขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อน ทั้งการฟอร์มทีม สร้างนักเตะดาวรุ่งให้มีผลงานมากขึ้น รวมไปถึงสร้างผลงานที่ดีขึ้น
ในยุโรปอีกด้วย และที่สำคัญเป้าหมายของทีมก็ คือการคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก มาครองให้ได้สักที

นับตั้งแต่ หงส์แดง คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ในคืนมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล ปี 2005 และเข้าชิงอีกครั้งในปี 2007 ก่อนพ่ายให้กับ เอซี มิลาน ไป 2-1 นับแต่นั้นกว่าสิบปีที่ เจ้าของแชมป์ยุโรป 5 สมัย ไม่เคยเข้าถึงนัดชิงอีกเลย
จนกระทั่งการเข้ามาของ เจอร์เกน คล็อปป์ คล็อปป์ พาทีมหงส์แดงเข้าชิง ถ้วย ยูโรปาลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี เพียงฤดูกาลแรกที่เขาเข้ามาคุมลิเวอร์พูล แม้สุดท้ายจะพ่ายให้กับ เซบีย่าไป 3-1 แต่ก็นับว่าได้ใจกองเชียร์
หงส์แดงเป็นอย่างมาก และในซีซั่น 2017-2018 อดีตกุนซือดอร์ทมุนด์ ก็พาทีมเข้าถึงรอบชิงแชมป์เปี้ยนลีก ก่อนพ่ายให้กับ ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ไปอย่างน่าเสียดาย ถือเป็นการกลับมาเข้าชิงถ้วยใหญ่สุดของยุโรปอีกครั้ง
ในรอบ 10 ปี

การเข้าชิงบอลถ้วยยุโรปสองครั้งในรอบ 3 ปี แม้สุดท้ายจะพ่ายทั้งสองครั้งแต่ก็ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล กลับมามีผลงานที่ดีได้อีกครั้งในยุโรปก็ด้วยผลงานของกุนซือมากฝีมืออย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ นั้นเอง
ซึ่งไม่แน่ว่า ซีซั่นนี้อาจได้เวลาคว้าแชมป์อีกครั้งของพวกเขาในถ้วยยุโรปก็เป็นได้ นับตั้งแต่การมาของ คล็อปป์ ฟีร์มิโน่ มีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาลงเล่นไปกว่า 105 เกมส์ ในพรีเมียร์ลีก และ ทำไปแล้ว 38 ประตู
กับ 23 แอสซิสต์ หากไม่ได้รับการผลักดันจาก คล็อปป์ ทุกวันนี้ เฟมีโน่ อาจเป็นเพียงผู้เล่นในม้านั่งสำรองก็เป็นได้ เมื่อได้โอกาส ฟีร์มิโน่ ตอบแทนความไว้วางใจของค๊อปป์ด้วยการทุ่มเทอย่างหนัก ทั้งในการฝึกซ้อม
และในสนามแข่ง แม้กระทั่งความบาดเจ็บจากการโดน นิ้วของ แฟร์ทองเก้น จิ้มเข้าที่ตา ก็หยุดความมุ่งมั่นของ ฟีร์มิโน่ ไม่ได้ ทุกวันนี้ ฟีร์มิโน่ เป็นตัวหลักที่ ลิเวอร์พูลจะขาดไม่ได้ไปแล้ว ซึ่งคงต้องขอบคุณในการทุ่มเทของเขา
และควาเชื่อมั่นในตัว ฟีร์มิโน่ ของ คล็อปป์ ที่ทำให้ ฟีมีโน่มีฟอร์มการเล่นทีดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การเข้ามาปรับรูปแบบการเล่นให้ ลิเวอร์พูล กลับมาเป็นทีมทีเน้นเกมส์รุก สมฉายา เครื่องจักรสีแดง อีกครั้ง ด้วยแผนการเล่นแบบ เกเก้นเพรสซิ่ง ที่ทำให้หงส์แดงเล่นได้อย่างดุดันและดูสนุกมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ทั้งสมัย ราฟา และ ร๊อดเจอร์ ที่ต่างก็เป็น กุนซือที่เน้นเกมส์รับทั้งคู่ การแจ้งเกิดของ 3 ประสานในแนวรุก อย่าง ฟีร์มิโน่, โม ซาล่า และ มาเน่ นั้น สร้างความตื่นตาตื่นใจใก้กับกองเชียร์ เดอะ ค้อป เป็นอย่างมาก ซึ่งแผนการเล่นของ
คล็อปป์ นั้นไม่ได้เน้นไปที่การให้นักเตะ ครองบอล, ผ่านบอล หรือกระทั่ง การลากเลื้อย แต่ คล็อปป์ จะเน้นไปที่ การเปิดโอกาสให้นักเตะได้แสดงความสามารถที่ตัวเองมี ออกมาให้ได้มากที่สุด ผ่านการเล่นแบบเพรสซิ่งใส่คู่แข่ง
อยู่ตลอดเวลา ล่าสุด อย่าง ดาเนี่ยล สเตอรริดจ์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่กับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งในยุคของ คล็อปป์ ซึ่งข้อดีของ คล็อปป์ ก็คือ เขาจะเข้าใจผู้เล่นว่า ใครมีจุดเด่นตรงไหน และจะนำมาใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด
ให้กับทีมได้อย่างไร และนี่คือหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้หงส์แดง บินสูงอยู่ในขณะนี้

แม้ว่า ฤดูกาลนี้ คล็อปป์ จะใช้เงินเสริมทัพอย่างมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ คล็อปป์ ไม่เคยลืมเลย คือการให้โอกาสกับนักเตะดาวรุ่งของสโมสร อย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คือหนึ่งในนักเตะเยาวชนที่คล็อปป์ปลุกปั้นและ
ให้โอกาส จนปัจจุบันกลายเป็นตัวหลัก ทั้งกับ ลิเวอร์พูล และ ทีมชาติอังกฤษ ด้วยวัยเพียง 20 ปี โจ โกเมซ ก็คืออีกคนที่ คล็อปป์ อดทนบ่มเพาะมาตั้งแต่อายุ 18 ปี และโกเมซ ก็ได้ตอบแทนความไว้วางใจของ คล็อปป์
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะนัดล่าสุด ที่เสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ไป 0-0 ที่แม้จะถูกโยกมาเล่นแบ็กขวา และดูไม่นิ่งในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็สามารถจัดการ สเตอร์ลิง ได้อยู่หมัด แถมเติมขึ้นไป
ช่วยเกมรุกได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดก็มาจากความเชื่อมั่นและให้โอกาสในนักเตะเยาวชนของคล็อปป์ นั้นเอง

ที่สำคัญความหวังในแชมป์พรีเมียร์ลีก เจอร์เกน คล็อปป์ พาลิเวอร์พูลจบอันดับ 8 ในซีซั่นแรกของเขาในอังกฤษ คว้าอันดับ 5 ในซี่ซั่นที่สอง และในซีซั่น 2017-2018 อดีตกุนซือดอร์ทมุนด์ พาหงส์แดงคว้าอันดับ 4 ในซีซั่นนี้
คล็อปป์ มีการปรับเพิ่มเสริมแกร่งให้กับทีมลิเวอร์พูล แบบค่อยเป็นค่อยไปด้วยการดึง นาบี เกอิต้า กับ ฟาบินโญ่ รวมทั้ง เซอร์ดาน ชากิรี่ มาเสริมทัพ อีกทั้งยังดึงเอามือหนึ่งทีมชาติ บราซิล อย่าง อลิซอน จากโรม่า มาแก้ไขปัญหา
ผู้รักษาประตู ที่ถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีปัญหาเรื้อรังมานานของทีม หงส์แดง ผลงาน ชนะ 6 นัดรวดในพรีเมียร์ลีก ทำสถิติออกสตาร์ทฤดูกาลได้ร้อนแรงสุดในรอบ 57 ปี แม้ว่าจะสะดุด เสมอไปสองนัดล่าสุด ทั้งกลับ เชลซี
และ แมนฯ ซิตี้ แต่ หงส์แดง ยังเกาะอยู่ที่อันดับสามของตาราง มีแต้มเท่ากับจ่าฝูง และ รองจ่าฝูง อย่าง แมนฯ ซิตี้ และ เชลซี เป็นรอง ก็เพียงลูกได้เสียเท่านั้น ทำให้ซีซั่นนี้ เป็นซีซั่นที่เหล่าแฟน ๆหงส์แดง ต่างมีความหวังที่จะ
ยุติการรอคอยที่ยาวนานกว่า 28 ปี กับแชมป์ลีกสูงสุดลงเสียที ซึ่งหาก คล็อปป์ ยังทำให้ ลิเวอร์พูล มีฟอร์มการเล่นที่ดีอย่างนี้ได้ตลอดทั้งฤดูกาล 28 ปีที่รอคอยอาจหยุดลงในปีนี้ก็เป็นได้ ถ้าลิเวอร์พูลได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีกในฤดูกาลนี้เสียที

หมายเลข 7 ของ “ปีศาจแดง” คือ เลขอาถรรพ์หรือเลขแห่งตำนาน

เสื้อทีมหมายเลข 7 ของสโมสร “ปีศาจแดง-แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานมาหลายรุ่น ซึ่งนักเตะระดับตำนานทั้ง จอร์จ เบสต์, ไบรอัน ร๊อบสัน, อีริก คันโตน่า, เดวิด เบ็คแฮม และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
แต่หลังจากนั้นมาหมายเลขนี้กลับกลายเป็นเหมือนคำสาปของผู้สวมใส่รายอื่น ๆ ต่อมา นับตั้งแต่การย้ายทีมของโรนัลโด้ หมายเลข 7 ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เหมือนโดนคำสาป ซึ่งกว่า 8 ปี กับ นักเตะหมายเลข 7 ทั้งหมด 5 ราย
นับแต่ โอเวน ถึง อเล็กซิส ไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาทำประตูรวมกันทั้งหมดได้เพียง 14 ประตู จากจำนวนรวมกันทั้งหมด กว่า 139 นัด ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับตำนานนักเตะหมายเลข 7 ของปีศาจแดงที่ผ่านมา
ทั้ง คันโตน่า,จอร์จ เบสต์ หรือแม้กระทั่ง โรนัลโด้ เพียงคนเดียว ก็ยิงไปแล้ว ถึง 84 ประตู จาก 6 ซีซั่นในโอลด์ แทร์ฟฟอร์ด

อย่างไรก็ตาม หลังจากาการย้ายสู่ เรอัล มาดริด ของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในปี 2009 แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถหานักเตะที่จะมาสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ได้อีกเลย จนปัจจุบัน ทันทีที่ อเล็กซิส ซานเชส ยิงประตูในนาทีสุดท้าย
พาปีศาจแดงพริกนรกกลับมาเอาชนะ นิวคาสเซิล ไปได้ 3-2 แฟน ๆแมนฯ ยูไนเต็ด หลายคนก็หวังว่า อเล็กซิส จะกลับมาคืนฟอร์ม และเล่นได้สมกับเป็นนักเตะที่ใส่เสื้อหมายเลข 7 ในตำนานของทีมเสียที
หลังจากที่ย้ายมาจากอาร์เซน่อล เมื่อกลางซีซั่นก่อน อเล็กซิส เพิ่งทำประตูได้เพียง 3 ประตูในพรีเมียร์ลีก เท่านั้น ตั้งแต่ตำนานหมายเลข 7 คนสุดท้ายอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จากไป ใครบ้างที่ แมนฯ ยูไนเต็ด
ได้ฝากความหวังในการเป็นตำนานหมายเลข 7

ไมเคิล โอเวน ปี 2009-2012 ไมเคิล โอเวน คือคนแรกที่เข้ามารับไม้ต่อ จาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยย้ายจาก นิวคาสเซิล สู่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 2009 และ ได้รับโอกาสจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กุสัน ให้สวมหมายเลข 7
ในตำนานนี้ทันที อย่างไรก็ตาม การย้ายสู่รั้วปีศาจแดงครั้งนี้ ของ โอเว่น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า สงครามประสาท ของ เฟอร์กี้ ที่ตั้งใจ นำเอาอดีตขวัญใจ กองเชียร์ ลิเวอร์พูล มาเล่นในถิ่น โอล์ด แทรฟฟอร์ด
พร้อมมอบหมายเลข 7ในตำนานให้อีกด้วย ซึ่งสร้างเคียดแค้นให้กับแฟนหงส์แดงเป็นอย่างมาก ฤดูกาลแรกของ โอเว่น ทำได้ เพียง 5 ประตู จากการลงสนาม กว่า 31 นัด ซึ่งถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
กับการใส่เสื้อหมายเลข 7 ของปีศาจแดง และตลอดสามปี กับ แมนฯ ยูไนเต็ด โอเว่น ยิงได้เพียง 17 ประตู รวมทุกรายการ และ ถูกปีศาจแดง ปล่อยตัว เมื่อหมดสัญญาในปี 2012 ในที่สุด

อันโตนิโอ วาเลนเซีย ปี 2012-2014 การย้ายจากวีแกน สู่รั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ วาเลนเซีย ในปี 2012 เจ้าตัวมาพร้อมกับ ตำแหน่งปีกขวาของทีม และได้รับโอกาสในการสวมเสื้อหมายเลข 7 จากเฟอร์กี้ ทันที
แต่ตลอดทั้งฤดูกาลแรกของ วาเลนเซีย กับ ปีศาจแดง เจ้าตัวทำได้เพียง 1 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 30 นัด จนเจ้าตัวต้องขอเปลี่ยนเบอร์เสื้อเมื่อจบฤดูกาล เพราะรับแรงกดดันจากหมายเลข 7 ในตำนานของปีศาจแดงไม่ไหว
และได้เปลี่ยนมาเป็น หมายเลข 25 พร้อมเปลี่ยนตำแหน่งจาก ปีกขวา เป็น แบ็คขวาของทีมนับแต่นั้นมา

อังเคล ดิ มาเรีย ปี 2014-2015 การย้ายจาก เรอัล มาดริด สู่โอลด์ แทรฟฟอรด ของ ดิ มาเรีย ในปี 2014 ด้วยค่าตัวกว่า 65 ล้านปอนด์พร้อมฟอร์มที่กำลังร้อนแรงสุดๆทั้งจากใน บอลโลก 2014 และกับ เรอัล มาดริด ทำให้
บรรดาแฟนของ ปีศาจแดง ต่างเชื่อมั่นว่า นี่จะเป็นตำนานหมายเลข 7 คนใหม่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งฤดูกาล ของ ดิ มาเรียกับปีศาจแดง เจ้าตัวทำได้เพียง 3 ประตู จาก 27 นัด ในพรีเมียร์ลีก และไม่สามารถปรับตัว
เข้ากับชีวิตใน อังกฤษได้ สุดท้าย ความหวังหมายเลข 7 คนใหม่ของแฟนๆปีศาจแดงก็ต้องย้ายทีมสู่ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หลังจากย้ายมาร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เพียง ฤดูกาลเดียวเท่านั้น

เมมฟิส เดปาย ปี 2015-2017 หลุยส์ ฟานกัล คว้าตัว เดปาย ที่ตอนนั้นถือเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ของ ฮอลแลนด์ จาก พีเอสวี มาด้วยค่าตัวกว่า 30.6 ล้านปอนด์ พร้อมหมายมั่นปั้นมือว่า นึ่จะเป็นตำนานหมายเลข 7 คนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด แต่ในฤดูกาลแรก ของ เดปาย เจ้าตัวทำได้เพียง 2 ประตูจากการลงเล่น 29 นัดในพรีเมียร์ลีก จนกระทั่งการมาของ โชเซ่ มูรินโย ในซีซั่นต่อมา เจ้าตัวต้องตกเป็นเพียงตัวสำรอง และถูกเปลี่ยนตัวลงเล่นเพียง 4 นัด รวมเวลาทั้งหมด 20 นาทีเท่านั้น ก่อนต้องย้ายทีมไป โอลิมปิค ลียง ใน เดือน มกราคม 2017 ในที่สุด

อเล็กซิส ซานเชส ปี 2017-ปัจจุบัน การย้าย จาก อาร์เซน่อล สู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ อเล็กซิส ซานเชส เมื่อ มกราคม 2017 พร้อมทั้งการ สลับขั้วสู่ เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ของ เฮนริค มคิตาร์ยาน สร้างความสุขให้กับบรรดาแฟนปีศาจแดงเป็นอย่างมาก ทั้งการดึงเอาขวัญใจของคู่แข่งอย่างอาร์เซน่อล มาสู่โรงละครแห่งความฝัน รวมถึงปาดหน้าคู่แข่งร่วมเมือง อย่าง แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ แต่ฤดูกาลแรกของซานเชส ใน โอล์ด แทรฟฟอรด เขาทำได้เพียง 2 ประตู โดยได้หนึ่งประตูจากจุดโทษ ในนัดที่พบกับ ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ และ อีกหนึ่งประตู จากลูกยิงด้วยเท้าขวา ในนัดที่พบกับ สวอนซี รวมถึง แอสซิสต์ไป 3 ครั้ง จาก 12 นัดที่เขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้ อเล็กซิส ลงเล่นไป 6 นัด และเพิ่งจะทำประตูแรกได้ในนัดล่าสุด จากลูกยิงในนาทีสุดท้ายของเขา ที่ช่วยให้ ปีศาจแดงกลับมาคว้าชัยชนะ หลังจากตามหลัง 0-2 ตั้งแต่ 10 นาทีแรกของเกมส์ ซึ่งถือเป็นประตูแรกของ อเล็กซิส ในพรีเมียร์ลีก ในรอบ 6 เดือนเลยทีเดียว หมายเลข 7 แห่งโอลด์ แทรฟฟอร์ดนี้ จะยังเป็นอาธรรพ์ต่อไปอีกนานแค่ไหน และใครจะสามารถสานต่อตำนานบทนี้ ต่อจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ได้ แฟนบอลปีศาจแดงก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป

“อาซาร์” อยากย้ายไปร่วมงานลีกสเปนพื่อบัลลงดอร์

เอเด็น อาซาร์ นักเตะดาวเด่นสิงห์บลู เผยว่า รางวัลบัลลงดอร์อาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาอยากย้ายไปเล่นในลีกสเปน โดยสตาร์ฟอร์มร้อนแรงจากเชลซี เผยว่า เขาอยากย้ายไปเล่นในสเปนเพื่อคว้าบัลลงดอร์
แต่จะไม่เกิดขึ้นแน่ในตลาดเช่วงดือนมกราคมนี้ พร้อมทั้งเชื่อว่าตัวเองคือผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก

กัปตันทีมชาติเบลเยียม อาซาร์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ หลังซัดไปแล้ว 8 ประตู จาก 10 เกม โดยปัจจุบันเขาเหลือสัญญากับสิงห์บลูถึงปี 2020 ท่ามกลางความสนใจจาก เรอัล มาดริด
โดยสามารถเลือกรับชมคลิปไฮไลท์ผลงานที่ผ่านมาของเจ้าตัวได้เพิ่มเติมที่เวบไซด์ยูทูปรวมไปถึงคลิปไฮไลท์เกี่ยวกับการแข่งขันที่คุณต้องการรับชม

ทางด้านดาวเตะวัย 27 ได้เผยผ่านสื่อยักษ์ใหญ่ในประเทศอังกฤษหลังถูกถามว่า ผู้ชนะบัลลงดอร์ 10 ครั้งหลังสุดเล่นอยู่ในสเปน คุณจำเป็นต้องย้ายไปที่นั่นเพื่อบัลลงดอร์หรือเปล่า?
“บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมอยากย้ายไปนะ”

นักข่าวยิงคำถามต่อว่าคิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลกหรือไม่? เขาตอบมาว่า “ใช่” สุดท้ายอาซาร์ทิ้งท้ายว่า “คุณต้องการพัฒนาตัวเองในฟุตบอลเสมอ ทำประตูมากขึ้นและทำแอสซิสต์มากขึ้น
ทีมช่วยเหลือผมเยอะมาก แต่ผมยังพัฒนาได้อีกแน่นอน”

Leave a Reply